ASIAN โกยยอดขาย Q1/65 แตะ 2,837 ลบ. พุ่ง 35% และมีกำไรสุทธิ 248 ลบ. เติบโต 15%
ASIAN เผยงบ Q1/65 ยอดขายอยู่ที่ 2,837 ลบ. เพิ่มขึ้น 35% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน บุ๊คมีกำไรสุทธิ 248 ลบ. เติบโต 15% ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 16.8% ชูกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นดาวเด่น รายได้โตพีคต่อเนื่องถึง 63% และอาหารทะเลแช่เยือกแข็งโต 51% ประเมินแนวโน้มภาพรวมธุรกิจทั้งปี 65 ยอดขายโต 19% และตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 17-18% วางงบ 660 ลบ. ลงทุนขยายเครื่องจักร และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้ดีขึ้นแทนการใช้แรงงานคน
นายเอกกมล ประสพผลสุจริต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารแช่เยือกแข็ง อาหารสัตว์น้ำ ทูน่า และอาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าและของตนเอง เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในงวดไตรมาส 1/2565 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 248 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 477 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 16.8% ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้าโดยที่แม้ว่าต้นทุนราคาวัตถุดิบสูงขึ้นแต่ยังสามารถรักษาอัตรากำไรได้จากการมีสัดส่วนสินค้าในกลุ่มสินค้าเพิ่มมูลค่ามากขึ้น ซึ่งก็คืออาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารทอดแช่เยือกแข็ง
ขณะที่รายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 2,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายและบริการ 2,095 ล้านบาท โดยกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงรายได้เติบโตสูงมากถึง 63% จากการที่สามารถเติบโตได้แข็งแกร่ง ในขณะที่กลุ่มอาหารทะเลแช่เยือกแข็งก็มียอดขายเติบโตสูงขึ้นถึง 51% จากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มหมึกและของทอดแช่เยือกแข็ง อย่างไรก็ดี กลุ่มอาหารสัตว์น้ำมียอดขายลดลง 31% จากนโยบายการปรับสัดส่วนลูกค้าไปพร้อมๆกับการปรับปรุงคุณภาพอาหารปลา ในขณะที่กลุ่มทูน่ายอดขายลดลงราว 7%
สำหรับในไตรมาส 1/2565 สัดส่วนรายได้หลักมาจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็ง โดยมีสัดส่วนราว 48% และ 36% ของรายได้รวมตามลำดับ ทั้งนี้ ASIAN มองธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง จะเป็นธุรกิจที่มีสัดส่วนมากที่สุดภายในปีนี้ ยอดขายเติบโตต่อเนื่องจากความนิยมและจำนวนสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น รวมถึงความนิยมสินค้าในกลุ่มพรีเมี่ยมเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้สัดส่วนยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงของกลุ่มบริษัทพุ่งสูงขึ้น โดยปริมาณการขายอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นถึง 38% มาอยู่ที่ราว 9,660 ตัน “monchou” แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมี่ยมของบริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 133% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากการที่สามารถวางจำหน่ายได้ในร้านค้าอาหารสัตว์เลี้ยงได้มากขึ้น และมียอดขายเป็นสัดส่วน 2% ของรายได้รวมของกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ในขณะที่เดือนพฤษภาคม บริษัทฯ เปิดตัวพรีเซนเตอร์คู่แรกของแบรนด์ ซึ่งเป็นไอดอลชื่อดังเพื่อสร้างการรู้จักและจดจำแบรนด์ ตลอดจนผลักดันยอดขายให้เติบโตก้าวกระโดดตามเป้า
ในส่วนของอาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ monchou ของบริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ในการขายเพื่อรุกตลาดภายในประเทศมากขึ้น เน้นการขยายตลาดร้านค้าสัตว์เลี้ยงและโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ โดยสามารถวางจำหน่ายได้แล้วมากกว่า 200 ร้านค้าทั่วประเทศ และในเดือนพฤษภาคมนี้ บริษัทฯ วางแผนจะออกผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในกลุ่ม “complete and balance” ภายใต้แบรนด์ “Monchou balance” (มองชู บาลานซ์) เพื่อเป็นสินค้ากลุ่มทางเลือก
นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนปรับสูตรสินค้าและบรรจุภัณฑ์ของสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ “Hajiko” แบรนด์อาหารสุนัขสำหรับตลาดสินค้าราคาย่อมเยาว์ โดยสินค้าเริ่มจำหน่ายในเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อสร้างจุดแข็งเหนือคู่แข่ง และเร่งปรับกลยุทธ์ทางการตลาด สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและจดจำ เพื่อโอกาสในการชิงส่วนแบ่งทางการตลาด นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ออกผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับสุนัขและแมวแบรนด์ใหม่ภายใต้แบรนด์ “PRO” ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อเจาะตลาดในตลาดที่มุ่งเน้นการแข่งขันด้านราคา ทำให้บริษัทฯ มีสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์ของตนเองครอบคลุมทุกกลุ่มตลาด
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการ Spin-off ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งบริษัท เอเชี่ยนอะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ซึ่งประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและทูน่า ได้ยื่นไฟลิ่งเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อสำนักงานก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
“ในปี 2565 จากผลประกอบการ Q1 ที่ผ่านมา คาดการณ์ผลประกอบการของ ASIAN มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากปัจจัยภายนอก จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้ราคาพลังงานและราคาวัตถุดิบจากภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย และอีกปัจจัยสำคัญ คือ แรงกดดันจากอัตราการติดเชื้อและการเสียชีวิตของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ทำให้เกิดความไม่แน่นอน ซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินเหรียญสหรัฐเทียบกับเงินบาทมีความผันผวนสูง อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาร่วมกับการเติบโตอย่างมั่นคงของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและการฟื้นตัวของอุปสงค์ในกลุ่มอาหารแช่เยือกแข็งในยุโรป บริษัทฯ ยังคงคาดการณ์ว่ากลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารแช่เยือกแข็งจะมียอดขายเติบโตมากขึ้น และการปรับสัดส่วนฐานลูกค้าภายในกลุ่มอาหารสัตว์น้ำจะทำให้ความเสี่ยงหนี้สูญลดลง ในขณะที่อัตรากำไรโดยรวมของกลุ่มบริษัทคาดว่าจะต่ำกว่าอัตรากำไรในปี 2564 โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ราว 17-18% และคาดว่ายอดขายในปีนี้เติบโตราว 19% จากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นสำคัญ ส่วนงบลงทุนยังคงไว้ที่ 660 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ลงทุนในการขยายเครื่องจักร และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้ดีขึ้นแทนการใช้แรงงานคน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรักษาอัตรากำไรให้ดีต่อเนื่อง” นายเอกกมล กล่าว
#bidennews #หมาป่าแห่งวอลสตรีท